งานวิจัย

มูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ มีหนึ่งในวัตถุประสงค์ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านสุขภาพ ถึง 4 ข้อ ซึ่งนั่นทำให้ ทางมูลนิธิได้ดำเนินการวิจัย ทั้งที่ได้รับงบประมาณจากแหล่งทุนของรัฐ และ การทำงานร่วมกันกับหน่วยวิจัยอื่น การดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับระบบสุขภาพของประเทศไทย โดยหนึ่งในงานวิจัยเกี่ยวกับระบบสุขภาพที่เราพยายามพัฒนา คือ การพัฒนาตัวชี้วัดความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน และ การพัฒนาเส้นขอบเขตขนาดเล็ก เพื่อเป็นการระบุปัญหาเชิงพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

Index of Multiple Deprivation ของประเทศไทย

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (Index of Multiple Deprivation: IMD) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดระดับความยากจนและความขาดแคลนของประชากรในพื้นที่ต่างๆ โดยพัฒนาขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2543 ด้วยเป้าหมายเพื่อระบุพื้นที่ที่มีความขาดแคลนสูงในหลายมิติ

IMD พิจารณาปัจจัยด้านความขาดแคลนที่หลากหลายนอกเหนือจากรายได้ เช่น การจ้างงาน การศึกษา สุขภาพ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และการเข้าถึงบริการ การคำนึงถึงหลายปัจจัยเหล่านี้ทำให้ IMD ให้ภาพความด้อยโอกาสที่ครอบคลุมมากกว่าการวัดความยากจนแบบดั้งเดิมที่ใช้ตัวชี้วัดเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

ในบริบทของประเทศไทยที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูง รวมถึงการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างภูมิภาค การมีเครื่องมือวัดความด้อยโอกาสอย่าง IMD จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้เป้าพื้นที่และกลุ่มประชากรที่เผชิญความยากลำบากมากที่สุด IMD ที่ปรับให้เข้ากับบริบทไทยจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย และหน่วยงานต่างๆ สามารถ:

  • จัดสรรทรัพยากรและมาตรการช่วยเหลือไปยังพื้นที่ที่ด้อยโอกาสที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับความขาดแคลนในแต่ละช่วงเวลา เพื่อประเมินผลกระทบของนโยบาย
  • วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างมิติความขาดแคลนด้านต่างๆ เพื่อหาแนวทางแก้ไขแบบบูรณาการ
  • เปรียบเทียบระดับความด้อยโอกาสสัมพัทธ์ระหว่างพื้นที่ เพื่อระบุความไม่เท่าเทียมทางภูมิศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การพัฒนา IMD สำหรับประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความพร้อมของข้อมูล ความเกี่ยวข้องของตัวชี้วัดกับเงื่อนไขท้องถิ่น การแบ่งย่อยข้อมูลตามภูมิศาสตร์ และการถ่วงน้ำหนักของแต่ละมิติที่เหมาะสม การเรียนรู้จากประสบการณ์ IMD ในต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการปรับให้สอดคล้องกับความท้าทายเฉพาะของไทยจะเป็นกุญแจสำคัญ

ความพยายามของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายในการทบทวนตัวชี้วัดความขาดแคลนและศึกษาวิธีการจัดทำ IMD จะวางรากฐานสำคัญสำหรับการออกแบบ IMD ที่สนับสนุนความพยายามบนพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ในการแก้ไขปัญหาความด้อยโอกาสและความไม่เสมอภาคในประเทศไทย IMD ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีพื้นที่หรือกลุ่มประชากรใดถูกทิ้งไว้ข้างหลังในการพัฒนาประเทศ

การพัฒนา IMD ของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินการโดยมูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ และ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี 2 version คือ

  1. ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (IMD) 2553 ถูกพัฒนาในปี พศ. 2561
  2. ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (MD) 2565 ถูกพัฒนาในปี พ.ศ. 2566

ขั้นตอนการสร้างดัชนี IMD

กระบวนการในการสร้างดัชนีความด้อยโอกาส Index of Multiple Deprivation (IMD) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  1. การกำหนดโดเมนที่ต้องมีความชัดเจน สอดคล้องกับบริบทของสังคมและวัตถุประสงค์ด้านนโยบาย โดยพิจารณาถึงความพร้อมของข้อมูลด้วย ในการศึกษานี้กำหนดโดเมนเป็น 6 มิติ คือ รายได้ การจ้างงาน การศึกษา สุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อม และอาชญากรรม
  2. การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละโดเมนที่ครอบคลุมทุกมิติและประชากรทุกกลุ่ม ต้องมีการสุ่มตัวอย่างที่เพียงพอ ใช้ข้อมูลที่ทันสมัย และต้องคำนึงถึงการนำผลไปใช้ประโยชน์
  3. การประมาณค่า Shrinkage Estimation เพื่อลดความผันผวนของข้อมูลในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีประชากรน้อยกว่า 5,000 คน โดยถ่วงน้ำหนักข้อมูลกับพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความคล้ายคลึงกันทางประชากร
  4. การรวมตัวชี้วัดในแต่ละโดเมนโดยใช้การวิเคราะห์ Factor Analysis เพื่อถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดย่อยและสร้างดัชนีรวมของแต่ละโดเมน
  5. การรวมดัชนีในแต่ละโดเมนเป็นดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (IMD) ด้วยการถ่วงน้ำหนัก โดยมิติรายได้ การจ้างงาน การศึกษา และสุขภาพให้น้ำหนักมิติละ 20% ส่วนมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และอาชญากรรมให้น้ำหนักมิติละ 10% ซึ่งสอดคล้องกับการกำหนดค่าน้ำหนักในการศึกษาในต่างประเทศ

ประโยชน์ของดัชนี IMD

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อนนี้สามารถช่วยในการพัฒนาประเทศไทยได้หลายประการ ดังนี้

  1. ระบุพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ: ดัชนีนี้ช่วยชี้ให้เห็นอำเภอที่ประสบความยากลำบากรุนแรงในแต่ละมิติ ทำให้รัฐสามารถจัดสรรทรัพยากรไปช่วยเหลือพื้นที่เหล่านั้นได้อย่างตรงเป้าหมาย
  2. วางแผนนโยบายแบบบูรณาการ: การแยกวัดในหลายมิติช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงของปัญหาต่างๆ เช่น การศึกษากับรายได้ ทำให้วางแผนแก้ไขแบบองค์รวมได้ ไม่ใช่แก้ไขเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง
  3. ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่: ค่าดัชนีที่สะท้อนความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ ช่วยให้มุ่งลดช่องว่างระหว่างอำเภอที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดได้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลมากขึ้น
  4. ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนา: หากมีการจัดทำดัชนีนี้ต่อเนื่องทุกปี จะช่วยให้ประเมินผลสำเร็จของนโยบายต่างๆ ได้ว่าช่วยให้พื้นที่ที่เคยด้อยโอกาสดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน
  5. ส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม: การให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำผ่านดัชนีนี้ จะช่วยสร้างสังคมที่เป็นธรรม เอื้ออาทร ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
  6. กระตุ้นการพัฒนาเชิงพื้นที่: ดัชนีความด้อยโอกาสระดับอำเภอจะช่วยให้ท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเองมากขึ้น ไม่ใช่รอรับนโยบายจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
  7. ส่งเสริมการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ: กระบวนการพัฒนาดัชนีนี้จะกระตุ้นให้เกิดการจัดเก็บ เชื่อมโยง และใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ ให้มากขึ้น ซึ่งจะยกระดับการกำหนดนโยบายบนฐานข้อมูลจริงทั้งประเทศ

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (IMD) 2553

สรุปย่อของดัชนี (IMD 2553)

การพัฒนาดัชนีชี้วัดความเป็นธรรมทางสุขภาพของไทยในระดับพื้นที่ย่อย (ระดับอำเภอ) ผ่านการสร้าง “ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน” (Index of Multiple Deprivation) จากข้อมูลทุติยภูมิของหน่วยงานต่างๆ มาประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อนนี้ประกอบด้วย 6 มิติหลักคือ รายได้ การจ้างงาน การศึกษา สุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อม และอาชญากรรมและอุบัติเหตุ โดยแต่ละมิติจะมีตัวชี้วัดย่อยๆ ที่สะท้อนระดับความยากลำบากในมิตินั้นๆ เช่น อัตราคนจน อัตราว่างงาน คะแนนสอบ อัตราการสูบบุหรี่ เป็นต้น

ในแต่ละมิติ ตัวชี้วัดย่อยจะถูกนำมาถ่วงน้ำหนักรวมกัน แล้วปรับค่าให้มีมาตรฐานเดียวกัน ก่อนจะนำคะแนนรวมของทั้ง 6 มิติมาถ่วงน้ำหนักอีกครั้ง เพื่อให้ได้ดัชนีความด้อยโอกาสรวมสำหรับแต่ละอำเภอ อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ข้อมูลบางส่วนไม่ทันสมัย ไม่ครบถ้วน หรือระดับพื้นที่ไม่ตรงกัน อีกทั้งยังเป็นการวัดความยากจนแบบสัมพัทธ์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ทำให้เปรียบเทียบข้ามช่วงเวลาได้ยาก

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อนนี้ช่วยชี้ให้เห็นพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือในแต่ละมิติ เพื่อใช้วางนโยบายแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงจุด แต่ยังต้องพัฒนาต่อให้ข้อมูลดีขึ้น และใช้ควบคู่กับการวัดความยากจนแบบสัมบูรณ์ เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

รายงาน การพัฒนาดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (IMD) 2553

ดูแผนที่ ดัชนี Index of Multiple Deprivation (Thailand) 2010

ดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (MD) 2565

ผลการศึกษาดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน (IMD) ของไทยในปี 2565 พบว่า แม้ระดับความยากจนโดยรวมของประเทศจะไม่สูงมากนัก แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูงในระดับพื้นที่ย่อย โดยอำเภอที่มีความด้อยโอกาสสูงมักกระจุกตัวในพื้นที่ห่างไกล ชายแดน และภูเขา ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ ขณะที่เมืองใหญ่และพื้นที่เศรษฐกิจมักได้เปรียบในทุกมิติ นอกจากนี้ยังพบว่า ปัญหาความด้อยโอกาสในแต่ละมิติมีความเชื่อมโยงและซ้ำเติมกันในระดับพื้นที่

ผลการศึกษานี้แตกต่างจากการพัฒนา IMD ของไทยในปี 2553 ในแง่ของการใช้ข้อมูลแบบลงทะเบียนที่เป็นทางการและทันสมัยมากขึ้น เช่น ข้อมูลผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลการศึกษา และการเสียชีวิต ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการศึกษา อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลในบางพื้นที่ โดยเฉพาะด้านการจ้างงานและสภาพแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อความแม่นยำของผลการวิเคราะห์บ้าง

โดยรวมแล้ว IMD ปี 2565 แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่และศักยภาพของเครื่องมือนี้ในการระบุพื้นที่และมิติที่ควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งสามารถนำไปใช้กำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพและเจาะจงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องมีการพัฒนาคุณภาพและความครอบคลุมของข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก IMD ได้เต็มศักยภาพในระยะยาวต่อไป

บทความจากงานวิจัย

รายงานผลการศึกษาดัชนีความด้อยโอกาสซ้ำซ้อน 2565

ดูแผนที่ ดัชนี Index of Multiple Deprivation 2022 (Thailand)